ติดต่อ....วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง โทร 074-840449 E-Mail cdapt@bpi.ac.th
ระบำบุหรงซีงอ
ชุด ระบำบุหรงซีงอ
โดยวิทยาลัยนาฎศิลปพัทลุง
ระบำบุหรงซีงอเป็นระบำพื้นบ้านภาคใต้แนวสร้างสรรค์ชุดใหม่ที่วิทยาลัยนาฎศิลปพัทลุงได้ประดิษฐ์ท่ารำขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยไดแนวคิดและแรงบันดาลใจ จากพญานกในเทพนิยายของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นกบุหรงซีงอซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนนกสี่ตัวที่ชาวบ้านจัดสร้างขึ้นตามความเชื่อเพื่อเข้าร่วมประเพณีแห่นก ประกอบด้วย นกกาเฆาะซูรอ(นกการะเวก) นกการุดา (ครุฑ) นกบือเฆาะมัส (นกยูงทอง) และนกซีงอ (นกสิงห์) คำว่า" บุหรงซีงอ " เป็นภาษามาลายูท้องถิ่นปัตตานี หมายถึงนกสิงห์ มีลักษณะตัวเป็นนก เท้า หงอน และเขี้ยว เป็นสิงห์ หัว งวง งา เป็นช้าง หูแบบวัว และเขาเหมือนแกะ ส่วนดวงตาสีแดงก่ำ
ดนตรีและเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง
ใช้วงดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ตอนล่างที่ผสมวงขึ้นมาใหม่เป็นวงเฉพาะเรียก " วงซีละรองเง็ง " เครื่องดนตรีประกอบด้วย ปี่ซูนา กลองมลายู รำมะนา ฆ้อง ไวโอลีน แมนโดลิน ฟลุทแอ็คคอร์เดี้ยน ทัมเบอริน และมาลากัส บรรเลงประกอบท่วงทำนองเพลงกุดา-เกปัง
การแต่งกาย
ผู้แสดงแต่งกายเลียนแบบนกบุหรงซีงอทรงเครื่อง ติดปีก ติดหาง สวมศรีษะนกครอบหน้าตามแบบมะโย่งซึ่งเป็นละครพื้นบ้านมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใ้ต้
รูปแบบและลักษณะการแสดง
ระบำบุหรงซีงอ เป็นการรำหมู่ ใช้ผู้แสดงชายล้วน ท่ารำเลียนอริยาบถของสัตว์ปีก ช้าง และสิงห์ ในท่วงท่านาฎศิลป์พื้นบ้าน สื่อความหมายถึงการโบยบินของนกบุหรงซีงอ แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ เหาะเหินเดินอากาศ ตลอดจนดำน้ำในมหาสมุทรอย่างสง่างาม บางทีดูนิ่มนวลพลิ้วไหว สลับท่าดุดันแข็งแรงบึกบึน การใช้ตัวแสดงหลายตัวต้องการแสดงถึงความงามในการรำหมู่ และแสดงถึงพลังแห่งความยิ่งใหญ่ของพญานกผู้ซึ่งเป็นเจ้าแห่งนกหิมพานต์ตามความคติความเชื่อของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้
แบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ ๑ ผู้แสดงเป็นพญานกบินออกตามท่วงทำนองเพลง
ขั้นที่ ๒ ผู้แสดง แสดงพลัง อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ โชว์หัว ปีกและหางแสดงถึงความสง่างามอันวิจิตร
ขั้นที่ ๓ ผู้แสดงตั้งซุ้ม
ขั้นที่ ๔ ผู้แสดงเป็นพญานกร่อนเข้าเวทีตามทำนองเพลง
ระบำตาเลาะเซมัง
ระบำตะเลาะเซมัง
เป็นการแสดงแนวสร้างสรรค์ชุดหนึ่งที่วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุงได้ประดิษฐ์ท่ารำขึ้นโดยได้รับทุนสนับสนุนด้านการวิจัยและงานสร้างสรรค์ประจำปี 2554 จากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
คำว่า “ตะเลาะ” เป็นผลไม้ป่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ออกผลเป็นพวง เปลือกแข็ง เวลาสุกจะมีสีน้ำตาลแดงด้านนอก มีเส้นสีแดงแซมเป็นลวดลายคล้ายรากไม้ เมื่อผลสุกแห้งสนิทข้างในจะกลวง นำมาเขย่ากระทบกันทำให้เกิดเสียงดัง หญิงสาวชาวเซมังนิยมเอามาเขย่าเพื่อเรียกร้องความสนใจจากชายหนุ่มชาวเซมัง และคำว่า “เซมัง” หรือ “ซาไก” เป็นชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ทางภาคใต้บริเวณเทือกเขาบรรทัดแถบจังหวัดพัทลุง ตรัง สตูล ยะลา ตลอดไปจนถึงรัฐเประและรัฐปาหัง ของประเทศมาเลเซีย เซมังมีชื่อเรียกขานกันต่าง ๆ เช่น ซาแก ซาไก ซึ่งแปลว่า ป่าเถื่อนหรือแข็งแรง บางกลุ่มก็เรียกซินอย เชมัง ส่วนชาวเซมังเองจะเรียกตัวเองว่า “มันนิ” และจะภูมิใจให้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเองเป็นภาษามลายูว่า “โอรัง อัสลี” แปลว่า คนดั้งเดิม
การแสดงชุดนี้นำเอาวิถีชีวิตของชาวเซมังมาประดิษฐ์ท่ารำโดยสอดแทรกท่าทางอันเป็นธรรมชาติทำให้กระบวนท่ารำมีความกลมกลืนสวยงาม ประกอบเข้ากับท่วงทำนองดนตรีที่ประดิษฐ์จากไม้ไผ่ตามแบบของชาติพันธุ์เซมังดั้งเดิม การแต่งกายจะแต่งตามกลุ่มชาติพันธุ์เซมังเครื่องดนตรีประกอบการแสดง
ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงชุดนี้ได้เอาแนวความคิดมาจากดนตรีพื้นฐานที่มีการละเล่นอยู่ในกลุ่มของเงาะป่าซาไก แถบเทือกเขาบรรทัดในท้องที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งยังคงเป็นลักษณะของดนตรีระดับพื้นฐานอย่างง่ายๆ ประดิษฐ์ขึ้นมาจากวัสดุจากธรรมชาติตามแบบที่ได้รับการสืบทอดกันมาแต่โบราณกาล ในการประดิษฐ์เครื่องดนตรีของซาไก ไม่มีความเชื่อใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง วัสดุที่นำมาใช้ในการทำเครื่องดนตรีได้แก่ ไม้ไผ่ ซึ่งเรียกว่า “บาแตซ” ลูกสะบ้า ใบไม้ เป็นต้น ลักษณะการจัดรูปแบบการบรรเลง หรือการจัดวงดนตรี นักดนตรีจะนั่งล้อมกันเป็นวงเพื่อบรรเลงเครื่องดนตรีของแต่ละคน
ในส่วนของดนตรีที่บรรเลงประกอบการแสดงนี้ อาจารย์กิตติชัย รัตนพันธ์ พร้อมด้วยคณะอาจารย์ภาควิชาดุริยางคศิลป์ ได้คิดประดิษฐ์ทำนองเพลงและจังหวะ ซึ่งใช้เครื่องดนตรีที่มีความหลากหลายสามารถแยกออกได้เป็น 3 กลุ่ม กล่าวคือกลุ่มแรก เป็นกลุ่มเครื่องทำจังหวะจะนำเอาเครื่องดนตรีพื้นฐานที่มีเล่นในกลุ่มเงาะซาไก ที่อาศัยอยู่ในแถบเทือกเขาบรรทัด มาเป็นแนวทางและเพิ่มเครื่องเกราะเคาะไม้และเครื่องประกอบจังหวะเพื่อความสมบูรณ์และหนักแน่นของจังหวะ ส่วนในกลุ่มที่สอง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องดำเนินทำนอง ซึ่งได้นำเอาเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าในวงดนตรีไทยคือ ขลุ่ยหลิบและขลุ่ยเพียงออ เข้าทำหน้าที่ในการดำเนินทำนองเพลง ส่วนกลุ่มที่สามเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงเป็นซาวด์เสียงธรรมชาติ (เสียงนก เสียงไก่ป่า) ได้แก่ ขลุ่ยที่ใช้ในชุดขลุ่ยตับนก จุดเด่นของเพลงประกอบการแสดงอยู่ที่จังหวะเคาะไม้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของดนตรีซาไก
ระบำดาหลาลาวัลย์
ระบำดาหลาลาวัลย์ เป็นผลงานสร้างสรรค์ของวิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง โดยได้แนวคิดมาจากตำนานดอกดาหลา ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำถิ่นภาคใต้ โดยเฉพาะแถบ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส ตามตำนานได้บอกเล่าถึงเรื่องราวความรักต่างศาสนาระหว่างชายไทยและสาวงามมาเลเซียที่นับถือศาสนาอิสลาม ทั้งสองรักกันแต่ความแตกต่างทางด้านศาสนาจึงทำให้ถูกกีดกันจากพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย แต่ฝ่ายหญิงก็มั่นคงในความรักที่มีต่อชายไทย จนกระทั่งมีเหตุให้ผลัดพรากจากกันทั้งคู่สัญญากันว่าจะกลับมาหากันที่บริเวณชายแดนไทย-มาเลเซียนางคอยหนุ่มคนรักจนกระทั่งตรอมใจตาย ก่อนตายนางจึงอธิษฐานว่าขอให้เกิดเป็นดอกดาหลาขึ้นอยู่ตามเทือกเขาชายแดนไทย-มาเลย์ เพื่อรอคอยการกลับมาของชายหนุ่ม
รูปแบบการแสดง
จะแสดงให้เห็นกระบวนท่าการเคลื่อนไหวชูช่อของดอกดาหลาโดยผู้แสดงจะถืออุปกรณ์เป็นดอกดาหลา ร่ายรำประกอบดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ตอนล่าง
การแต่งกายผู้แสดงจะแต่งกายเลียนแบบสีของดอกดาหลาตัดเย็บด้วยผ้าไหมฟูยีเขียนลายบาติกเป็นดอกดาหลา๔สายพันธุ์ได้แก่สีขาว สีแดงสีชมพูและสีบานเย็น
เครื่องดนตรี
ใช้วงดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ตอนล่างประกอบด้วย ไวโอลิน แมนโดลิน ฟลุ๊ต แอคคอเดี้ยน เบสมุสลิม รำมะนาใหญ่ รำมะนาเล็ก ฆ้องหรือโหม่งมุสลิม มาลากัส และแทมเบอริน